300x250 #1
ในเวทีเสวนาวิชาการนานาชาติ หัวข้อ “ทิศทางการจัดการศึกษาโลก สู่เป้าหมายการศึกษาปี 2030” จัดโดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)
โดยมี ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านสังคม เป็นประธาน และผู้แทนจากกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาการศึกษา องค์การยูเนสโก และองค์การยูนิเซฟ เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมา
นางเอพริล โกลเด้น เจ้าหน้าที่ภาคีสัมพันธ์ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก สำนักงานกองทุนการศึกษาโลก ได้ฉายภาพทิศทางการจัดการศึกษาโลกในอีก 15 ปีข้างหน้าว่า เป้าหมายด้านการศึกษาซึ่งถูกบรรจุไว้อยู่ในข้อที่ 4 ของทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยกำหนดให้ทุกประเทศต้องสร้างโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพ ทั่วถึงและเป็นธรรมแก่เด็กเยาวชนทุกคน ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงมัธยมศึกษา รวมทั้งสร้างเสริมโอกาส “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” แก่ประชาชนทุกคนภายในปี 2573
ในขณะที่ปัจจุบันยังมีเด็กเยาวชนวัยเรียนกว่า 124 ล้านคนทั่วโลกที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาอยู่ และในทวีปแอฟริกาอัตราการออกกลางคัน (Dropout)...
เฉลี่ยของนักเรียนก็ยังคงสูงถึงร้อยละ 42
นับเป็นความท้าทายของประเทศด้อยพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา ทั้งทางการเงินและการดำเนินการเป็นอย่างมาก ในการสนับสนุนให้เด็กเยาวชนด้อยโอกาสกลุ่มนี้ได้มีโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพ จนสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา รวมทั้งส่งเสริมโอกาสทางการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้แก่ประชาชนทุกช่วงวัยอีกด้วย
ทิศทางใหม่ของการจัดการศึกษาคือการศึกษาที่มีคุณภาพและเรียนรู้ตลอดชีวิต จากเดิมที่เน้นสร้างโอกาสทางการศึกษาในโรงเรียน จึงปรับเปลี่ยนแนวคิด พยายามเข้าถึงเด็กทุกกลุ่มที่ด้อยโอกาส...
ปัญหาความเท่าเทียมของหญิงและชายในการเข้าถึงการศึกษา และต้องเป็นการศึกษาที่มีคุณภาพเชื่อมโยงกับความต้องการของตลาดแรงงานที่ต้องทำงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อรวบรวมข้อมูลทักษะการทำงานที่ภาคเอกชนต้องการ รวมถึงกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีปัญหาการอ่านออกเขียนได้...การขาดทักษะใหม่ๆที่ตลาดต้องการให้กลับเข้ามาศึกษาต่อ เพื่อให้เกิดทักษะเพื่อการประกอบอาชีพอย่างต่อเนื่อง
การจัด “การศึกษาที่มีคุณภาพ” และ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” ต้องมีระบบการเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและเป็นอิสระ เพื่อให้เกิดระบบการจัดสรรงบประมาณที่มีประสิทธิภาพไม่สูญเปล่า สร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดทำนโยบายด้านการศึกษาที่ตรงกับความต้องการของสังคมเศรษฐกิจ
และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ...ลดปัญหาช่องว่างการจัดการศึกษาของโลก ให้เด็กเยาวชนอีกกว่า 124 ล้านคนทั่วโลกที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานกองทุนการศึกษาโลกจึงมีบทบาททั้งการสนับสนุนนวัตกรรมความรู้ งบประมาณให้แก่ประเทศต่างๆ
เป้าหมายระดมทุนช่วยเหลือจากรัฐบาลประเทศและองค์กรต่างๆในรูปแบบหุ้นส่วนการทำงาน จำนวน 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 1.4 ล้านล้านบาททุกปี ตลอด 15 ปีข้างหน้า
สำหรับประเทศไทย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไม่มีงบประมาณ เพราะในแต่ละปีไทยใช้งบเพื่อการศึกษาสูงถึง 20-25% ของงบประมาณแผ่นดิน และเป็นอัตราเฉลี่ยที่สูงติดอันดับโลก
ปัญหาจึงอยู่ที่ประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณให้ “เกาถูกที่คัน” และความไม่ต่อเนื่องทางนโยบาย
กองทุนการศึกษาโลกสะท้อนว่า ปัญหาเหล่านี้ไม่มีขึ้นเฉพาะประเทศไทย แต่ล้วนเกิดขึ้นในหลายๆประเทศ “การจัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศ เพื่อให้รู้ปัญหาและวางแผนอย่างเป็นระบบ” จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ในที่ประชุม นายฮิวส์ เดลานี ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย สะท้อนว่า ทิศทางการจัดการศึกษาของไทยต้องดูว่าระบบการศึกษามีส่วนพัฒนาทักษะของเด็ก...เยาวชนที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศหรือไม่ โดยเฉพาะทักษะที่จำเป็นในการทำงานในอนาคต
ทั้งทักษะการสื่อสาร การแสดงออก จึงต้องดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายและนโยบายด้านการศึกษา
นอกจากนี้ผู้แทนองค์การยูเนสโกได้ตอบข้อซักถามในที่ประชุมว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงมากกว่า 20% ของงบประมาณแผ่นดิน แต่ยังเป็นการลงทุนที่ขาดประสิทธิภาพ
เมื่อเทียบกับผลของผู้เรียน ประเทศไทยจึงควรพัฒนาประสิทธิภาพการใช้งบประมาณด้านการศึกษาด้วยการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพและเป็นอิสระในการสนับสนุนการตัดสินใจทางนโยบาย
นับรวมไปถึงการจัดสรรงบประมาณ รวมทั้งแก้ไขปัญหาเรื่องความต่อเนื่องของนโยบายการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงตามรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ศ.ดร.ยงยุทธ ให้ความเห็นว่า เป้าหมายการจัดการศึกษาโลกคือประชาชนทุกคนจะมีโอกาสอย่างน้อยได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการเรียนรู้ตลอดชีวิต...
แต่...ประเทศไทยยังมีปัญหาชนกลุ่มน้อย เช่น ชาวไทยภูเขา ลูกแรงงานอพยพที่ต้องย้ายถิ่นตามพ่อแม่ที่ไม่ได้รับการศึกษาเท่าที่ควร ทั้งกัมพูชาและเมียนมา ซึ่งกองทุนการศึกษาโลกอาจมีส่วนช่วยในส่วนนี้
รวมถึงการทำงานร่วมกันต่อไปในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากประสบการณ์ของกองทุนการศึกษาโลกที่ทำงานร่วมกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะมาตรการยกระดับประสิทธิภาพการจัดสรรงบประมาณการศึกษา
“ทุกวันนี้...เราจัดสรรงบประมาณแบบอุปทาน และจ่ายเงินถึง 1 ใน 5 ของงบประมาณแผ่นดินแต่ไม่ค่อยได้ผล สิ่งที่เราต้องการสนับสนุนจึงไม่ใช่เรื่องเงินทุน แต่ต้องการองค์ความรู้เชิงระบบและประสบการณ์นโยบาย
เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศ จึงควรมีคณะทำงานที่จะร่วมมือกันโดยมี สสค.เป็นผู้ประสาน ซึ่งแม้เป็นหน่วยงานเล็ก แต่สามารถเคลื่อนที่เร็ว เป็นหน่วยประสานยุทธศาสตร์ ระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการศึกษาทุกฝ่ายในประเทศและในระดับนานาชาติ”
สุดท้ายทุกฝ่ายตั้งหวังกันว่า...ประสบการณ์จาก “กองทุนการศึกษาโลก” จากการเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาที่คล้ายคลึงกับไทยจะเป็นบทเรียนสำคัญ เพื่อใช้ในการ “จัดการความรู้” และ “วางระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ” เพื่อปรับใช้ในประเทศไทยไม่มากก็น้อย.
300x250 #1
ที่มา http://www.thairath.co.th
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น