23 ตุลาคม น้อมสำนึกพระมหากรุณาแห่งพระปิยมหาราช




อนกลับไปเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พุทธศักราช 2453 สยามตกอยู่ในความทุกข์เทวษแสนสาหัส เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงพระประชวรก่อนหน้านั้น ได้เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต
พระมหากษัตริย์ผู้เสด็จสู่สวรรคาลัยพระองค์นี้ เป็นที่รักยิ่งและทรงเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ทรงประกอบคุณูปการมหาศาลด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ส่งผลให้สยามประเทศรุ่งเรืองเฟื่องฟู พสกนิกรอยู่เย็นเป็นสุข จนได้รับการถวายพระราชสมัญญา "พระปิยมหาราช" หรือกษัตรย์ที่ยิ่งใหญ่ผู้เป็นที่รักยิ่ง ทำให้ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6  ทางราชการได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติเรียกว่า "วันปิยมหาราช" และกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งต่อมาเป็น "กรุงเทพมหานคร" ร่วมด้วยกระทรวงวัง ซึ่งต่อมาเป็น "สำนักพระราชวัง" ได้จัดตกแต่งพระบรมราชานุสาวรีย์ ตั้งราชวัตรฉัตร 5  ชั้น ประดับโคมไฟ ทอดเครื่องราชสักการะที่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระนามเดิมว่า “เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพมหามงกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร” เป็นพระราชโอรสของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี (พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์) เสด็จพระราชสมภพเมื่อ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษาได้รับการสถาปนาเป็น  สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ และเมื่อพระชนมายุได้ 15 พรรษา เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ
ทรงได้รับการถวายการศึกษาวิชาการต่าง ๆ ตามโบราณราชประเพณี ทั้งยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษอีกด้วย เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ บรมราชาภิเษก โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฎว่า
"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษรัตนราชรวิวงศ วรุตมพงศบริพัตร์ วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวรราชรามวรังกูร สุภาธิการรังสฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยวิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหสวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทร มหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตยรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว"
เมื่อพระชนมายุบรรลุพระราชนิติภาวะ ได้ทรงผนวชเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วจึงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15  พฤศจิกายน พ.ศ. 2416
ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ทรงงานหนักและมุ่งพัฒนาสยามประเทศให้ก้าวไกลในทุกด้าน ท่ามกลางลัทธิการล่าอาณานิคมจากตะวันตก ทรงดำเนินพระราชวิเทโศบายด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปเพื่อผูกสัมพันธไมตรีกับชาติตะวันตก อีกทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีเลิกทาส การป้องกันการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และจักรวรรดิอังกฤษ ได้มีการประกาศออกมาให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในประเทศ โดยบุคคลศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามสามารถปฏิบัติการในศาสนาได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ได้มีมีการนำระบบจากทางยุโรปมาใช้ในประเทศไทย ได้แก่ระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาท ใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัดและอำเภอ และได้มีการสร้างรถไฟ สายแรก คือ กรุงเทพฯ ถึง เมืองนครราชสีมา ลงวันที่ 1 มีนาคม ร.ศ.109 ซึ่งตรงกับ พุทธศักราช 2433 นอกจากนี้ได้มีงานพระราชนิพนธ์  10 เรื่อง ได้แก่ ไกลบ้าน
เงาะป่า,นิทราชาคริต,พระราชพิธีสิบสองเดือน,กาพย์เห่เรือ,คำเจรจาละครเรื่องอิเหนา,ตำราทำกับข้าวฝรั่ง,พระราชวิจารณ์จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี,โคลงบรรยายภาพรามเกียรติ์ และ โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ
ด้านการทหาร ทรงปรับปรุงกองทัพ โดยริเริ่มการฝึกหัดทหารแบบยุโรป ปรับปรุงอาวุธยุทธภัณฑ์ตลอดจนวิธีการฝึกให้ทันสมัย ทรงตั้งโรงเรียนายร้อยทหารบก โรงเรียนนายเรือ กรมเสนาธิการทหารบก โรงเรียนแผนที่

ด้านกระบวนการยุติธรรม โปรดเกล้าฯ ให้ศาลทั้งหมดไปขึ้นต่อกระทรวงยุติธรรม เป็นการแบ่งแยกอำนาจตุลาการออกจากอำนาจบริหารครั้งแรกของหน้าประวัติศาสตร์สยามประเทศ
ด้านการศึกษา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงเรียนหลวง และต่อมาแพร่ขยายออกไป เปิดโอกาสให้ประชาชนคนธรรมดามีโอกาสได้รับการศึกษาด้วย
ด้านสุขทุกข์ประชาชน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดูแลพสกนิกรใกล้ชิดกว่าพระมหากษัตริย์องค์อื่นๆ ที่เคยมีมา ด้วยทรงปลอมพระองค์เป็นสามัญชนไปพร้อมผู้ติดตามไม่กี่คน เดินทางออกไปตามที่ต่างๆ ทั้งในและนอกพระนคร เพื่อทอดพระเนตรความเป็นอยู่จริงๆ เพื่อทรงสอดส่องปัญหา ดูแล ไต่ถาม อย่างใกล้ชิด
ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ ทรงปกครองทำนุบำรุงพระราชอาณาจักร ปกเกล้าปกกระหม่อมพสกนิกรให้อยู่เย็นเป็นสุข ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ และสามารถธำรงเอกราชไว้ตราบจนทุกวันนี้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมเหสี และ เจ้าจอม รวมทั้งหมด 92 พระองค์ โดย 36 พระองค์มีพระราชโอรส-ธิดา อีก 56 พระองค์ไม่มี และพระองค์ทรงมีพระราชโอรส-ธิดา รวมทั้งสิ้น 77 พระองค์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453รวมพระชนมายุได้ 58 พรรษา ครองราชสมบัติมานานถึง 42 ปี




ที่มา http://news.truelife.com
Share on Google Plus

About Unknown

This is a short description in the author block about the author. You edit it by entering text in the "Biographical Info" field in the user admin panel.

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น