สิ่งที่เห็น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นกับ “อาบัติ”


ช่วงนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นกระแสตูมตามทีเดียวกับการที่คณะกรรมการพิจารณาเรตติ้งภาพยนตร์เรื่อง “อาบัติ” ได้พิจารณาห้ามภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้เข้าฉายเนื่องจากผิดกฎกระทรวงวัฒนธรรมว่าด้วยการกําหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ. 2552 เสียก่อน จึงเกิดกระแสทั้งสนับสนุนและต่อต้านกันมากมายจากประชาชน ซึ่งส่วนมากที่ผมอ่านนั้นก็ล้วนเข้าใจว่าเป็นคนที่เคารพในศาสนาทั้งสิ้นครับ


ผมเองเลยไปลองคุ้ยหากฏกระทรวงดังกล่าว ดูว่าห้ามอะไรฉายบ้างในประเทศไทย และส่วนไหนที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกห้ามฉายในประเทศไทย

พบว่ามีข้อนึงที่เขียนไว้ว่า

“สาระสําคัญของเรื่องเป็นการเหยียดหยามหรือนําความเสื่อมเสียมาสูศาสนา หรือไม่เคารพต่อปูชนียบุคคล ปูชนียสถาน หรือปูชนียวัตถุ”

เนื่องจากตัวผมเองมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่องอาบัติตั้งแต่ช่วงการถ่ายทำแล้ว อาจจะเห็นต่างจากคณะกรรมการที่พิจารณาในข้อนี้พอสมควรครับ เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงแม้จะมีภาพของพระสงฆ์และสามเณรที่ทำผิดศีล แต่ล้วนได้รับผลกรรมและได้มีการชี้แจงข้อดีข้อเสียต่างๆ อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งมาก และ “ไม่ได้มีสาระสำคัญ” ในการเหยียดหยามและนำความเสื่อมเสียมาสู่ศาสนาเลยครับ ออกจะอยู่ในฟากตรงข้าม คือช่วยขัดเกลาให้คนห่างไกลจากการทำผิดศีลเสียด้วยครับ

ส่วนตัวเลยคิดว่าการตีความตรงนี้ระหว่างผมกับคณะกรรมการก็คงจะเห็นไม่ค่อยตรงกันนัก แต่ก็ไม่ได้ว่ากันครับ ความเห็นคนเรามักไม่ตรงกันเสมอ ยิ่งเป็นเรื่องที่จับต้องได้ยาก เช่น การตีความของภาพยนตร์แล้ว สองคนดูก็อาจจะได้รับอารมณ์ที่แตกต่างกัน

แต่ส่วนที่สำคัญยิ่งกว่าคือสาเหตุที่ภาพยนตร์จะต้องมีการ “ห้าม” ไม่ให้ฉายนั้นนอกเหนือจากที่ไปขัดต่อกฎหมายหลายๆ ส่วนที่คอขาดบาดตายซึ่งเข้าใจและยอมรับกันได้ เช่น หนังอนาจารนี่อยู่ในโซนห้ามนะครับ เขียนไว้ว่าเห็นอวัยวะเพศนี่จบเลยทันที ห้ามฉายในประเทศครับ เมืองนอกจะจำกัดไปที่อายุ 18 หรือ 21 ปีก็ว่าไปครับ (แต่บางประเทศก็ห้ามเลยเหมือนกันครับ)

ทีนี้อีกสาเหตุหนึ่งคือการที่รัฐหรือผู้ดูแลกฎหมายส่วนนี้คิดไว้ว่าคนไทยในปัจจุบันยังมี “วุฒิภาวะ” ที่ไม่พอที่จะตัดสินได้ว่าสิ่งใดดีไม่ดี ควรไม่ควร และถึงจะโตแล้วก็ตามก็ยังสามารถถูกโน้มน้าวหรือเกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้ง่าย แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่ดีพอ คณะกรรมการจึงสามารถสั่งห้ามภาพยนตร์หลายๆ เรื่องได้

ฝรั่งชอบเรียกสิ่งนี้ว่า Media Literacy ครับ แต่สำหรับผมชอบเรียกว่า “ภูมิคุ้มกันสื่อ” ซึ่งเป็นวิจารณญาณสำหรับตัดสินว่าอันนี้ผิด อันนี้ถูก อันนี้หลอกลวง อันนี้จริงใจ เวลาสื่อต่างๆ ทั้งโฆษณา เพลง ภาพยนตร์ ละคร ข่าว งานเขียน งานพูดหาเสียง หรือการเล่านินทาคนของเพื่อนเราก็ตาม

ภูมิคุ้มกันนี้ทำให้เราหยุดที่จะมองสิ่งต่างๆ เร็วเกินไป หรือตัดสินอะไรเร็วเกินไปโดยขาดความยั้งคิด อย่างที่เราเห็นตัวอย่างหนังอาบัติ หรือโปสเตอร์ หรือกระทั่งชื่อแล้วคิดว่ามันจะเป็นหนังของคนนอกรีต ที่สร้างขึ้นเพื่อจะทำลายศาสนาพุทธให้ย่อยยับอับปางไปในประเทศไทย เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

ผมแอบไปถ่ายรูปมารูปหนึ่งมาให้ผู้อ่านได้ลองพิจารณาดูกันครับ

จากรูปนั้นเรามองเห็นอะไรบ้าง? เกิดอะไรขึ้น?

ในภาพอาจจะเป็นผู้ชายหนึ่งคนที่กำลังข่มขืนคนอีกคนอยู่ หรืออาจจะเป็นคนที่กำลังปั๊มหัวใจช่วยเหลือคนอีกคนก็ได้

เราไม่สามารถรู้ได้หากข้อมูลนั้นไม่เพียงพอ และเมื่อถึงจุดนี้เราก็คงไม่สามารถที่จะวินิจฉัยและตอบอะไรได้จนกว่าจะได้รู้รายละเอียดเพิ่มเติมก่อนจะพิพากษาภาพนี้ไปก่อน และนั่นคือ “ภูมิคุ้มกันสื่อ” ที่กล่าวถึงที่จะทำให้เราฉุกคิดขึ้นมา ก่อนจะพลั้งตัดสินใจเชื่อ หรือไม่เชื่อสิ่งใดไปในทันทีทันใด

เช่นเดียวกับ อาบัติ ครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกฉาย ผู้คนบางกลุ่มได้ทำการตัดสินกันไปเสียก่อนแล้วว่าภาพยนตร์เรื่องนี้บ่อนทำลายศาสนาโดยที่ยังไม่ได้รับชมตัวภาพยนตร์เพื่อให้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วนั้นภาพยนตร์จะเป็นอย่างไร

และนั่นอาจจะทำให้ผู้มีอำนาจคิดว่าการตัดสินแทนทุกคนในประเทศว่าสิ่งใดเป็นขาว สิ่งใดเป็นดำนั้นเป็นเรื่องที่ควรทำ เช่นที่เกิดกับภาพยนตร์เรื่องนี้!

ที่มา http://www.thairath.co.th/content/532451
Share on Google Plus

About Unknown

This is a short description in the author block about the author. You edit it by entering text in the "Biographical Info" field in the user admin panel.

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น